เพื่อนสามีตัวแสบ

สืบเนื่องมาจากอ่านโพสของท่านอื่นประกอบกับประสบการณ์ตรงของตัวเอง ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ซื้อขายคอนโดเท่าไหร่ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
          2 ปีก่อน เพื่อนสามีเป็นชาวต่างชาติ ขอใช้ชื่อ นายจ.แล้วกันนะคะง่ายๆ นายจ. ก็มาขอความช่วยเหลือว่า เราเป็นคนไทย อยากจะให้ช่วยหาคอนโดให้หน่อย ทำเลนี้ งบเท่านี้มาให้เสร็จสรรพ  ไอ้เราด้วยความใจดี ไม่มีไรทำอยู่แล้วก็เลยหาข้อมูลอยู่หลายเดือน พร้อมกับบอกเราว่า เค้าไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่ทราบอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ (ไอ้เราก็ไม่รู้ เด็กบ้านดอนมากๆ) เห็นเราอยู่บ้านไม่มีงานทำ ได้ข้อมูลเราก็ส่ง เมลล์พร้อมแปลให้ด้วย บางครั้งถึงกับโทรถามข้ามประเทศให้เลย แต่ เค้าก็ไม่เคยถูกใจที่ไหรซักที่ พออยู่ไปอยู่มา เราก็ได้ทราบจากพี่สาวคนไทยที่อยู่บ้าน(ที่ต่างประเทศ)ใกล้ๆกัน เค้าได้รับเชิญไปเที่ยวคอนโดที่เมืองไทย ของเพื่อนตาท่านนี้ นี่หล่ะ(ท่านที่บอกว่าไม่ทราบเรื่องคอนโดเลยอะค่ะ) ที่เพิ่งตกแต่งเสร็จเมื่อปีก่อน ไอ้เราก็งง ว่าเอ้ยแล้วมาบอกให้เราหาคอนโดทำไม แต่สามีก็บอกว่า เค้าคงอยากให้เราช่วยมั้งเลยไม่ว่าไร อันนี้ไม่ติดใจ
           1 ปีต่อจากนั้น นายจ.เค้าก็ซื้อคอนโดเพิ่มอีกแต่ว่า(นี่แมร่งมันไม่รู้เรื่องคอนโดเลยนะเนี่ย) ต้องมีการตกแต่งห้องเหมือนกับปีก่อน เค้าเลยวานให้เรา ช่วยพูดกับช่างให้หน่อย (เพราะห้องที่แล้วเค้าจ้างบริษัทเสียเงินค่าตกแต่งทั้งหมดมากเท่ากับค่าห้องเลย) ครั้งนี้พอจ้างช่างทั่วไปเหมาก็ถูกกว่าหลายเท่าตัว เราก็แปลให้ คุยให้ ติดต่อประสานงานไม่เคยคิดจะเรียกค่าสินน้ำใจเหมือนคนที่เค้าเคยจ้างวานมาซักนิดเพราะเราถือว่านี่คือเพื่อนของสามีนะนะ( นายจ.เค้าบ่นกับสามีว่า คนที่มาช่วยจะชอบมาขอค่านายหน้า ไอ้เราก็เข้าใจนะเพราะนี่มันเสียเวลาชาวบ้านนะเว้ย เวลาเป็นเงินเป็นทอง)
              แรกๆสามีก็ให้ช่วยพอหลังๆเค้าเริ่มเห็นว่าเพื่อน นายจ. ต่างชาติท่านนี้เห็นแก่ตัวมาก เริ่มจากว่าเราอยู่ห้องดีๆก็วานให้เราไปคุยกับช่างบ่อยแทบทุกวัน ทำอย่างกะว่าเราเองเป็นนายหน้าหรือไม่ก็ผู้คุมโปรเจคเลย ไม่แล้วไม่เลิกซักที ประกอบกับตอนนั้นเราไปซื้อห้องไว้อยู่เองที่ๆเดียวกับเขา เราก็ตกแต่งซ่อมห้องเหมือนกัน เราได้ช่างมาจาก ช่างนายจ. นี่หล่ะ ซึ่งช่าง ก็ยืนยันบอกว่า งานของเพื่อน ห้องนายจ.เสร็จเรียบร้อบพร้อมมาทำห้องเราได้เลย แต่พอทำไปได้ไม่ถึงอาทิตย์ นายจ.ก็มาตามช่างเราไปแก้งาน เก่า(ซึ่งรอได้) บ่อยมากๆ เราก้เง็งมากบางครั้งถึงขั้นตามทั้งเราไปแปล พร้อมช่างเราไปดู งานของเค้า เป็นอันว่าตัวเราก็ทำงานของเราไม่ได้เลย สรุป งานของเราจากที่ช่างบอกว่าจะเสร็จถายใน20วันไม่เกิน เดือน ก็เลยล่วงมาเดือนกว่าๆ ที่เจ็บในมากๆคือเราเช่าคอนโดอีกห้องไว้เพื่ออยู่ระหว่างตกแต่ง หมดสัญญาเดือนเราก็ต้องจ่ายเพิ่มรายวันต่อเพราะห้องของเราไม่เสร็จเพราะนายจ.เรียกช่างเราไปจนงานเลยกำหนด(เราได้อยู่ห้องของเราเองแค่5วันก่อนบินกลับ) ทั้งเรา สามีเรา ช่างต่างก็พูดอะไรไม่ออกเพราะถือว่าเพื่อนกันไม่ว่าอะไร รักษาน้ำใจกันไว้
                 เรื่องมาแตก ตัดความเป็นเพื่อนกันเลยก็เพราะว่าประมาณ1 เดือนก่อนกลับต่างประเทศ นายจ.เค้าก็ซื้อห้องอีกห้องนึง ในวันทำสัญญาเค้าก็ นัดให้เราไปเป็นเพื่อนเพื่อดูสัญญา อ่าน แปลทำธุระให้ โดยทำเป็นพูดกับ สามีเราว่าจะให้ค่าสินน้ำใจ5000บาท เราก็บอกว่าอย่าเลย เค้าก็ยืนยันต่อหน้าสามี ว่าจะให้จริงๆนะ
                พอลับหลังที่เค้าไป สามีเฉลยกับเราว่า จริงๆเค้าไม่ได้เสนอเงิน5000 อะไรนั่นหรอก สามีเป็นคนพูดกับนายจ.เองหล่ะว่า ถ้าเราไป ให้จ่ายค่าเสียเวลาซัก 5000 แล้วกัน ถือว่าเป็นสินน้ำใจ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา เธอ(นายจ.) วานให้เมียเราช่วยเธอมาเยอะแล้วนะ (ปกติจะจ้างทนายค่าตัวแพงกว่าที่จะให้เราเท่าตัวเลย)  เย็นก่อนวันที่จะไปโอนที่ กรมที่ดิน ปรากกว่า นายจ.เข้ามาพูดกับสามีเราอย่างลับว่าโดยที่เราไม่รู้ไม่เห็นว่า เค้าจะไม่ให้เงิน5000 แล้วนะ เพราะเค้าเห็นว่าเราเป็นเพื่อนเลยไม่อยากให้ พร้อมกับกำชับสามีว่าอย่าบอกเรานะให้เพราะ ยังไงก็อยากให้เราไปช่วยดูเอกสารที่กรมที่ดินด้วยกัน แต่เนื่องด้วยว่าสามีเก็บความลับไม่อยู่เลยเอามาบอกเราว่าถ้าพรุ่งนี้เราไป กรมที่ดินกับ นายจ. เราจะไม่ได้ตังนะ เราก็บอกสามีไปว่า เฮ้อโล่งอกไปทีก็ไม่อยากได้ตังอยู่แล้ว พร้อมกับบ่นให้สามีว่า คุณสามีนี่ก็กระไร อยู่ดีๆก็ขอเงินเพื่อนเค้าน้อ สามีก็ตอกให้ว่า เธอเหนื่อยกับเค้ามาเยอะแล้ว ได้เงินกะเค้าบ้างจะเป็นไร ตบท้ายว่า พรุ่งนี้จะไปก็ไปนะ แล้วแต่คุณเมีย เราก็ยืนยันว่าจะไปให้
                  วันรุ่งเช้าก็ไปกรมที่ดิน ไปตั้งแต่เจ็ดโมงเช้ากลับมามืดเลย เหตุเพราะว่าขาดเอกสารสัดส่วนเจ้าของคอนโดที่ต้องระบุว่า ทั้งอาคารสัดส่วนระหว่างคนต่างชาติต้องไม่เกิน50เปอร์เซนต์ ต้องได้ใบตัวจริงจากนิติ เราก็อาสา โทรประสานงาน ให้เตรียมเอกสารให้ (เราเคยโอนเราเลยทราบว่าต้องทำไงบ้างทั้งๆที่เราย้ำกับนายจ. แล้วว่าให้ไปติดต่อที่นิติให้ได้ใบสัดส่วน ติดตัวไปก่อนวันโอนนะ จนแล้วจนรอด นายก็ไม่เตรียมก็ไม่มีไป) เราเห็นว่าถ้าไม่โอนวันนี้ก็จะเป็นวันหยุด(จำไม่ได้ว่าวันอะไร) ยาวสี่วัน เราก็ใจดี ตีรถกลับเองเสียเวลาร่วมสองชั่วโมงเพราะรถติดมากๆ เงินค่าเดินทางเหมารถเราออกเองหมดทุกอย่าง เหนื่อยหัวกระเซอะกระเซิงเพราะขึ้นรถหลายต่อมากๆ ก็ทนนะ  
                    พอเรากลับมาถึงกรมได้ใบมา คนขายห้องก็เอาประเมินค่าโอนทั้งหมดมาให้ดู(ประมาณ7 หมื่นกว่าๆ)เค้าก็ถามเราว่า เค้าไม่เคยขายคอนโดให้ใคร รู้แค่ว่าจ่ายครึ่งจ่ายกันยอดไหนกันแน่ เพราะในใบประมาณ มี ทั้ง ภาษี อากรแสตมป์ อะไรอีก ก็ไม่ทราบ
                    เราก็บอกคนขายเค้าว่า ตอนเราซื้อห้องของเราเราก็ตกลงจ่ายครึ่งๆ 50/50 กับคนขายแหละ แต่ตอนนั้น(คนขายเราปีก่อนงุบงิบไม่ยอมแม้แต่จะให้ดูใบเสร็จประกอบว่าเย็นมากแล้วเราต้องการจะทำเรื่องให้เสร็จเลยยอมจ่ายตามที่คนขายบอกโดยไว้ใจไม่ขอดูใบเสร็จตั้งแต่แรก)ตอนนั้นพอดีเหลือบๆ นายจ. ทำหน้าแปลกๆ เหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง เราก็เลยบอกคนขายว่าแล้วแต่ให้ตกลงกับนายจ. เอาแล้วกัน  
สรุปเค้าก็จ่ายกันครึ่งๆ ของยอดรวม คนละเกื่อบสี่หมื่นบาท
                      พอเรากลับมาถึงห้อง นายจ. ก้โทรมาน้ำเสียงดุดันว่า ทำไมเราถึงทำกับชั้นอย่างงี้ เราเราย้อนถามว่า ชั้นไปทำไรให้เธอโกรธเหรอ  นายจ. ก็ตอบมาว่า ปกติ ค่าโอนห้องที่กรมที่ดินที่ว่าครึ่งๆ นี่แค่ครึ่งของยอดต่างๆยกเว้นค่าภาษี เราก็เลยย้อนกลับไปว่า ก็ตอนอยู่ที่นั้น ด้วยกัน ทำไมคุณถึงไม่พูดอะไร เรามีประสบการณ์รู้มาอย่างงี้ เราก็ พูดไปงั้น ถ้าคุณ รู้มากกว่าชั้นทำไมถึงไม่พูด  
                    เค้าก็ตอบว่าก็เธอควรจะมีหน้าที่ที่จะช่วยให้ชั้น(นายจ. ) จ่ายน้อยลงไม่ใช่เยอะขนาดนี้  แล้วก็บอกว่า คนขายไม่มีประสบการณ์อยู่แล้วเค้าคงเชื่อเธอแหละ  
                     มาถึงช่วงสนทนาสรุปคราวนี้กลายเป็นว่า จุดประสงค์ที่ให้เราไปเพื่อจะให้เราพูดให้เค้าเสียค่าโอนน้อยลง เราก็เลยย้ำไปว่าที่ผ่านมาเราทำมาแบบนี้ก็บอกไปงี้ จะให้ชั้นช่วยบอกให้ใครเสียมากเสียน้อย มันไม่ใช่เรื่องของชั้น
                      นายจ.เค้าเลย อ้างขึ้นมาทันได เลยว่า งั้น 5000 ที่ชั้นจะให้เธอน่ะ ชั้นไม่ให้เธอแล้ว เพราะถือว่าเธอพูดให้ชั้นเสียตังเยอะมากกว่าที่คิดไว้  จบ.................
                       รุ่งขึ้นเราก็ร้อนใจว่า เอ๊ไอ้ที่ว่าค่าโอน 50/50 ที่ว่านี่มันคืออะไร  ครึ่งยอดไหน ยอด รวม..... หรือเฉพาะค่าภาษีรายได้.... หรืออะไรกันแน่    งงไปหมดแล้ว   ก็เลยโทรไปที่กรมที่ดินเลยค่ะ แบบว่าร้อนใจสุดๆ ย้อนว่าเอ็เราเป็นฝ่ายผิดใช่ไม๊
                          เจ้าหน้าที่ก็เลย ตอบมาว่า อันนี้แล้วแต่ ตกลงระหว่าง ผู้ซื้อขาย ถ้าจะให้ดีตอนร่างสัญญา หรือว่าตอนเซนต์สัญญา ควรจะแยกออกมาเลยว่า จะครึ่งกันแบบไหน (แนะนำให้ไปหาเจ้าหน้าที่เลยค่ะ ว่ามียอดอะไรบ้าง) กรณีที่เซนต์แล้ว บอกว่าจ่าย50/50 ก็อาจครึ่งยอดต่างยกเว้น ค่าภาษีรายได้ของผู้ขาย หรือบางกรณีง่ายๆเลยว่า เป้นยอดรวมทั้งหมด ถ้าหากมีปัญหาเรื่องเงินๆทองๆอย่างงี้ ทาง กรม. จะไม่รับผิดชอบไดๆค่ะ เพราะถือว่าเราทำธุรกรรมเสร็จแล้ว ถ้าผู้ซื้ออยากได้เงินคืนจากผู้ขายก็ต้องตามเอาเองค่ะ  
                        เราได้ยินอย่างงี้ เราก็เลย บอกให้คนขายช่วยจ่ายเงินคืนนายจ. ทีเพราะนายจ.อยากได้เงินคืน อย่างมาก
                        ผ่านไป 2-3 วันเรามาทราบทีหลังจากคนขายว่า เค้าสองคน(นายจ.กับคนขาย) ได้นัดเจอกันเพื่อจะคืนเงินส่วนที่นายจ.อยากจะได้คืน แต่คนขายบอกว่า นายจ. บอกว่าไม่ต้องคืนมาหรอก(ทำหน้าใหญ่ขึ้นมาเชียว)
                         แค่บอกมาว่า คุณ.....(ชื่อเราเอง)...... มีส่วนได้ส่วนเสียกับการโอนครั้งนี้หรือเปล่า แค่บอกความจริงมาแล้วผม(นายจ. ) จะไม่เอาเงินคืนซักบาทเดียว  คนขายก็เลยบอกว่า ไม่นะ ก้ไม่รู้จัก คุณคนนี้เลยเคยเจอกันครั้งแรกก็วันโอนห้องนั่นหล่ะ  แล้วก็ตบท้ายว่า ที่เราไปวันนั้นเพราะหวังจะได้ เงิน5000 บาทจากเค้า ซึ่งเรารู้อยู่ก่อนแล้วว่าไม่ได้แต่เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนของสามีเลยอยากช่วยก็เท่านั้น
                         สรุปว่า นายจ. คิดร้ายกับเรามาโดยตลอด หาว่าเรา ทำตัวเป็นนายหน้าอยากได้ค่าโอน นั่นนี่ สุดท้ายก็ ตกม้าตายเองเลย  ที่ทราบมาล่าสุดเค้าชอบไปบ่นกับเพื่อนบ้านในคอนโดว่าเรา แย่งช่างเค้า(ทั้งๆที่งานตัวเส็จไปเป็นชาติผิดที่เค้าเองที่เรื่องมากอยากได้นั่นนี่แต่ไม่มีความอดอนรอ)  พอสงสัยว่าเรื่องค่าช่างแพงก็เอาไปพูดกับเพื่อนบ้านว่าอาจเป็นเพราะว่าเราเรียกค่านายหน้าจากช่างอีกทีอะไรประมาณนั้น(เข้าไปนั่น) ซึ่งเราไม่เคยแม้แต่จะคิด  ป๊าตคนอะอย่างหว่า คิดไปได๊น้อ
                        เราเอาเรื่องทั้งหมดไปบอกสามี สามีก็บอกว่า ทนไม่ไหวแล้วกับพฤติกรรมนิสัย ความคิด(สัน......) อัน ห่วยเกิน เลยขึ้นไปด่าที่ห้องยกใหญ่ (เราแอบสะใจอยู่เล็กๆ) นี่แน๊ะ มาดูถูกคนอย่างเรา คนเห็นแก่เงิน ไม่เห็นแก่มิตรภาพ
                        ทุกวันนี้เราดีใจมาก ไม่มีเพื่อนสามีต่างชาติตนท่านนี้ เข้ามายุ่งยากในชิวิตครอบครัวเรา  สบายใจ......
                        บ่นยาว ขออภัย แต่ก็ บ่งบอกอะไรอย่างว่า คนต่างชาติบางคน ที่หน้ายิ้มเป็นมิตรดี เวอร์อาจจะไม่ใช่อย่างที่คถณคิดก็ได้นะคะ   แถมคิดไรคิดต่างจากเราเยอะมากๆๆประหลาดใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่